ใครบอกว่าไม่เคยทำงานหนัก ไม่มีเวิร์คโหลดแสดงว่าคนนั้นไม่เคยผ่านการทำงานหนัก แต่ก็ไม่ได้แปลว่าการทำงานจนมี workload มากๆ แปลว่าดีนะคะ เพราะหากคุณมีเวิร์คโหลดที่ไม่ดีมากๆ เป็นเวลานานๆ อาจส่งผลถึงหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็น ร่างกาย ประสิทธิภาพการทำงาน รวมไปถึงกำลังแรงใจด้วย
เราก็มีช่วงเวลาที่ไม่สามารถจัดการชีวิตตัวเองได้อยู่เหมือนกัน แต่ต้องบอกว่าเรื่องพวกนี้จัดการได้ 80% ด้วยตัวของเราเอง อีกส่วนอาจมาจากบริบทรอบตัว เช่น เนื้องานที่แตกต่างกันไปในแต่ละงาน เป็นต้น
ถึงแม้ว่าเราจะแก้ 20% นั้นไม่ได้ แต่หากเราสามารถจัดการกับอีก 80% ที่เหลือให้ดีได้ เชื่อว่าจะมีเวลาเหลือเฟือพอให้เราได้กลับไปดูแลตัวเองแน่นอนค่ะ หากใครไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนแนะนำให้เริ่มต้นจาก 3 ข้อง่ายๆ เหล่านี้
- ทำความเข้าใจกับสโคปงานของตัวเองทั้งหมดให้เข้าใจถ่องแท้เสียก่อน – บางคนทำงานโดยที่ไม่ได้รู้ว่างานของตัวเองประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ทำให้บางครั้งมักจะเลยเถิดไปทำในสิ่งที่ไม่ได้จำเป็นต้องทำอยู่ร่ำไป ลองเปลี่ยนมาศึกษาเนื้องานของตัวเองใหม่แล้วอาจจะเห็นว่าจริงๆ แล้ว เราอาจจะเสียเวลาอยู่กับบางอย่างที่เล็กไป หรือใหญ่เกินไปโดยไม่ได้ตั้งใจอยู่ก็ได้
- จดรายละเอียดงานที่ต้องทำทั้งหมดลงกระดาษเพื่อจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง – พอเวลามีงานเยอะๆ เด็กๆ สมัยนี้บางทีก็ไม่จดเพราะคิดว่าตัวเองจำได้ แต่เชื่อเถอะไม่ว่าเด็กหรือแก่ พองานเข้าเยอะๆ บางทีก็สติหลุดนึกไม่ออกว่าต้องทำอะไร เมื่อไหร่ ตอนไหนบ้าง ลองหากระดาษ A4 มาสักแผ่น พับครึ่งแล้วแบ่งหัวข้องานเป็น 4 อย่างได้แก่ สำคัญ-รีบ, ไม่สำคัญ-รีบ, สำคัญ-ไม่รีบ และไม่สำคัญ-ไม่รีบ แล้วลอง list งานของตัวเองทั้งหมดลงไป ทีนี้ก็จะพอรู้แล้วว่ามีงานอะไรที่ต้องทำก่อน
- สร้างตารางงานที่ต้องทำในแต่ละวันไว้บน Drive หรือ App แล้วเข้าไปอัพเดททุกครั้งหลังทำงานเสร็จ – เพราะบางทีงานก็ไม่ได้จบทุกงานเป็นวันๆ ไป การจดไว้ในสมุดบางครั้งก็อาจจะทำให้ลืมเปิดกลับไปดู วิธีที่ง่ายและสะดวกที่สุดในการเข้าไปเช็คว่าตอนนี้ Status งานของเราไปถึงไหนแล้ว เรามักจะใช้ excel นี่แหละ เอามาทำตารางแล้วอัพโหลดไว้ใน Google Drive พอเปิดคอมตอนเช้า สิ่งแรกที่เปิดก็เป็นเจ้าไฟล์นี้แหละเพื่อเช็คว่าวันนี้เราต้องทำอะไร แล้วมีอะไรที่ค้างอยู่จากเมื่อวานบ้าง ใครนึกภาพไม่ออกลองลองดูจากลิ้งค์ที่แชร์ไว้ด้านล่างนี้ได้เลย หรือจะเอาไปใช้ก็ได้ไม่สงวนลิขสิทธ์
เป็น 3 ข้อที่ไม่ยาก แต่มักจะลืมกันบ่อยๆ แต่เชื่อว่าถ้าใครทำได้ก็จะช่วยให้เรารู้จักจัดการงานให้เป็นระบบระเบียบมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญยังไม่ทำให้เราหลงลืมงานบางอย่างที่ไม่ได้สำคัญมากแต่ต้องทำได้อีกด้วยค่ะ 3 ขั้นตอนง่ายๆ แค่นี้ก็เปลี่ยน Workload เป็น Work-Life-Balance ได้ไม่ยากค่ะ
