หนูโตขึ้นแล้วหนูจะแต่งงานมีลูกน่ารักๆ…
นี่เป็นความฝันวัยเยาว์ของเด็กหญิงอายุ 10 ขวบคนหนึ่งซึ่งอีก 22 ปีต่อมาในตอนนี้กำลังมีเบบี๋อยู่ในท้องค่ะ
‘คุณมองตัวเองอีก 10 ปีข้างหน้าว่ายังไง’
‘อยากมีครอบครัวที่ดี และมีลูกน่ารักๆ
คอยช่วยซัพพอร์ทให้ครอบครัวมีความสุขและประสบความสำเร็จค่ะ’
และนี่ก็เป็นบทสนทนาสั้นๆ ของเด็กหญิงคนเดิมที่เธอกลายร่างเป็นสาววัย 29 ปี
ที่ตอบคำถามเจ้านายของเธอเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว
แน่นอนค่ะ ว่าเด็กหญิงและหญิงสาวคนนั้นคือคนๆ เดียวกัน และนั่นคือฉันเอง…!
ในช่วงวัยต้นๆ อายุ 20 ปี ฉันทำงานอย่างหนัก หามรุ่งหามค่ำ ขอให้ได้ทำอะไรก็ได้ที่มันสุดๆ สนุกกับการทำงานอย่างเต็มที่โดยหลงลืมความสุขวัยเยาว์ จนเมื่อย่างเข้าสู่วัยเกือบ 30 ถึงได้ดึงสติตัวเองกลับมาจากคำถามของเจ้านายที่เพิ่งรู้จักกันเพียง 2 วันคนนั้น
หลังจากที่ทำงานกับเค้ายิ่งทำให้ฉันกลับมาคิดทบทวนเรื่องของเป้าหมายในอนาคตอย่างถี่ถ้วนมากขึ้น จริงๆ แล้วจะเรียกว่าเค้าเป็น ‘ไอดอลที่เราไม่อยากเป็น’ ก็ว่าได้ ในชีวิตนี้ฉันมีเจ้านายหลายคน ที่ทั้งเก่ง ฉลาดหลักแหลม เติบโตในการทำงานอย่างรวดเร็วตั้งแต่อายุยังน้อย และก็แปลกแต่จริงที่หลายๆ คนนั้น มักเป็นเจ้านายแบบที่ฉันมองเห็นแล้วว่า ‘ฉันไม่อยากเป็นแบบเขา’
ที่ไม่อยากจะเป็นไม่ใช่เพราะเขาไม่ดี แต่เป็นเพราะไลฟ์สไตล์ของเขาที่ย้อนแยงกับความคิดของฉันเสียสิ้นเชิง บางคนทำงานจนไม่มีคู่ชีวิต แม้ว่าจะอยากมีมากเพียงใดก็ตาม(ไม่นับคนที่ไม่มีเพราะมีความสุขกับชีวิตอยู่แล้วนะคะ) บางคนหมดเวลาในเช้าวันหยุดที่แสนสดใสไปกับออฟฟิศที่แสนยุ่งเหยิง แน่นอนพวกเขาได้ค่าตอบแทนที่สูงลิบลิ่ว แต่มันกลับไม่ได้อยู่ในใจฉันเลยสักนิดเพราะอะไรน่ะหรือ เพราะโฟกัสที่เรามีมันต่างกันอย่างไรล่ะ
เวลาที่เราโฟกัสอะไรบางอย่างในคนละมุมแล้ว
ฉันว่ามันยากที่จะปรับองศามามองในมุมอีกแบบที่เราไม่คุ้นเคย
ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ ‘แต่มันไม่เป็นตัวเอง’
กลับมาที่ชีวิตของฉันเองบ้าง ฉันทำงานในตำแหน่งผู้จัดการของบริษัทแห่งหนึ่งที่คิดว่าเอ่ยชื่อออกไปทุกคนก็น่าจะรู้จักดี จนวันหนึ่งที่ฉันรู้สึกว่าชีวิตมีอะไรมากกว่าแค่ห้องสี่เหลี่ยมนี้ ชีวิตที่ต้องตื่น 5 เข้า 9 เลิกทุ่ม และนั่งอยู่ที่โต๊ะตลอดวันแม้วันนั้นจะว่างแสนสาหัส ฉันคิดถึงสามีและบ้านของฉัน ที่สำคัญคือเวลาที่เราจะได้ใช้ร่วมกันมากกว่าตื่นมามองหน้าเขาเวลาที่เขาหลับ และกลับไปตอนที่เราทั้งคู่กำลังง่วงนอนเต็มประดา
ฉันเลือกที่จะเดินออกมาพร้อมกับการปัดฝุ่นแผนการที่ถูกรื้อออกมาจากหีบแห่งความทรงจำ บางทีแผนการที่ว่านั่นอาจไม่ได้เป็นแผนการมาตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ มันอาจจะเป็นแค่ ‘จุดมุ่งหมายแห่งความสุข’ ของคนๆ นึงก็เป็นได้ แต่น่าแปลกที่มันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ไม่ว่าจะเป็นฉันในตอนไหน จะ 5, 10 หรือ 30 ขวบ ฉันยังหวังเห็นตัวเองมีความสุขและใช้เวลากับคนที่ตัวเองรักอยู่เสมอ
ฉันเริ่มต้นแผนการชีวิตของฉันด้วยการทำงานที่บ้าน ใช้ชีวิตร่วมกันกับสามี แน่นอนว่าช่วงแรกมีความสุขมากกกกกก(ก.ไก่ล้านตัว) เหมือนโลกทั้งใบมีแค่เราสอง แต่การอยู่สองคนมันสอนอะไรในชีวิตให้เราหลายอย่าง สามีฉันเป็นคนดีมาก เขาไม่เคยเอาเปรียบฉันเลย ทั้งยังดูแลอย่างดี ฉันเสียอีกที่กลับกลายเป็นคนที่รู้สึกว่ายังดีไม่พอ แต่เพราะความรู้สึกแบบนั้นแหละที่เป็นแรงผลักดันให้ฉันได้ลุกขึ้นมาทำชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นในแต่ละวัน แผนการชีวิตที่ติดมาพร้อมกับจดหมายลาออกนั้นเริ่มกลายเป็นภาพลางๆ ที่บางทีก็มองเห็นไม่ค่อยชัดเจน ในขณะที่ความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
การเป็นซัพพอร์ทเตอร์ไม่เคยเป็นเรื่องที่อยู่ในความคิดของฉันมาก่อน จนเมื่อวันนึงฉันต้องกลับมาทำงานที่บ้าน บ้านเราไม่ได้เป็นบริษัทยิ่งใหญ่อะไร อยู่กันเล็กๆ ทำงานเท่าที่จะมีแรงทำไหว(ในคุณภาพที่กำลังพอดีด้วยนะคะ) แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันเปลี่ยนไปมากคือ ฉันเริ่มต้นแผนการของตัวเองได้อย่างชัดเจน จากคนที่เคยชี้นิ้วสั่งๆๆ ไปทำโน่น ไปทำนี่ ฉันกลายเป็นคนที่ต้องทำเองซะเป็นส่วนใหญ่ งานซัพพอร์ทเช่น งานบัญชี งานบุคคล และงบประมาณต่างๆ ที่ประสบการณ์ในชีวิตการทำงานบริษัทใหญ่ๆ ของฉันไม่เคยต้องเฉียดเข้าใกล้กลับกลายเป็นงานที่ฉันต้องทำในทุกๆ วัน
ถ้าถามฉันว่าชอบไหม?
มันไกลจากคำว่าชอบที่ฉันรู้จักมาก
แต่มันอยู่ได้นะ เพราะฉันรู้ว่า งานที่ฉันกำลังทำ มันกำลังซัพพอร์ทคนรักของฉันให้เขาได้ทำในสิ่งที่สำคัญและมีความสุข ฉันเคยถามเขาว่า เธอไม่เห็นเคยจะเลือกอะไรเลย มันต้องมีอะไรที่ทำแล้วชอบ และอยากทำบ้างสิ แต่คำตอบของเขาคือ เขาจะมีความสุขเมื่อเขาเห็นฉันมีความสุข ฉันว่าตอนนี้สำหรับฉันมันก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ละมั้ง
แต่ทุกอย่างมันคือส่วนหนึ่งของแผนการชีวิตของฉันเอง ถ้าต้องให้ฉันตอบคำถามนี้ ในวัย 33 ปีอีกครั้ง
‘คุณมองตัวเองอีก 10 ปีข้างหน้าว่ายังไง’
‘อยากมีครอบครัวที่ดี และมีลูกน่ารักๆ
คอยช่วยซัพพอร์ทให้ครอบครัวมีความสุขและประสบความสำเร็จ’
อาจจะห้อยท้ายเพิ่มมาอีกสักหน่อยว่า
‘และเก็บเกี่ยวช่วงเวลาแห่งความสุขนี้ให้ได้นานที่สุดค่ะ’
แล้วคุณล่ะคะ มองตัวเองอีก 10 ปีข้างหน้าว่าไว้ว่ายังไง?