บันทึกคุณแม่มือใหม่: แพ้ใจไม่แย่เท่าแพ้ท้อง

ั้งแต่วันแรกที่รู้ตัวว่า ‘ท้อง’ อาการแพ้ท้องก็มาเยือนทันทีเลยล่ะค่ะ จนบางครั้งก็อดอิจฉาคนที่แพ้แบบตรงกันข้ามกันไม่ได้(แบบที่่อยากกินอะไรซักอย่าง) เพราะของเรานอกจากคลื่นไส้ พะอืดพะอม ทานอะไรไม่ลงแล้ว ยังมีอาการ ‘เหม็น!’ เข้ามาร่วมด้วย เหม็นกลิ่นสามีตัวเองก็มี! สิ่งที่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ดีในตอนนั้นคือ ‘การนอน’ ซะเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งก็แพ้จนนอนไม่ได้ การทานอาหารเรายังพยายามทานให้ครบ 3 มื้ออยู่แต่เฉลี่ยต่อมื้อเหลือเพียง 3 คำเท่านั้นค่ะ น้ำหนักที่เคยเกินเกณฑ์อยู่ก็ค่อยๆ ลดลงตามลำดับจากการที่เราทานไม่ได้จนพอครบ 3 เดือนน้ำหนักลงไปประมาณ 5 ก.ก.เลยล่ะค่ะ

ในส่วนของลูก คุณแม่ๆ คงกังวลว่าถ้าเราทานไม่ได้ในช่วงนี้จะทำให้เด็กในท้องเป็นอย่างไร? แต่สบายใจได้ค่ะ เพราะในช่วง 1-12 วีค(สัปดาห์)แรกนั้น เด็กจะมีถุงไข่แดงเล็กๆ ติดตัวมาด้วย ซึ่งเด็กก็จะได้รับอาหารจากเจ้าถุงไข่แดงนี้ไปอีกประมาณ 12 สัปดาห์หรือประมาณอายุครรภ์ 3 เดือนนั่นแหละค่ะ ดังนั้นไม่ว่าแม่จะทานได้หรือไม่ได้ ก็ไม่มีอันตรายกับเด็กแต่อย่างใดค่ะ ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าเจ้าตัวเล็กจะอดไปกับเราด้วย เขามีของเขาตุนไว้เรียบร้อยแล้ว

ในช่วงนี้คุณหมอจะให้ ‘โฟลิค’ มาทานเพื่อเสริมพัฒนาการของเด็กซึ่งจำเป็นมากนะคะ เพราะช่วยในเรื่องพัฒนาการ ป้องกันความพิการของทารกในครรภ์ได้นั่นเองค่ะ (จริงๆ แล้วแนะนำให้ทานก่อนตั้งครรภ์อย่างต่ำ 1 เดือนนะคะ ใครที่ไม่อยากทานวิตามินเม็ด ลองทานเป็นอาหารทางเลือกได้ เช่น กุยช่าย ตำลึง ผักกาดหอม กะหล่ำมะเขือเทศ บรอคโคลี่ คึ่นช่าย ถัวงอก ถั่วเหลือง ถั่วเขียวตับไก่ ตับวัว ตับหมู ส้ม องุ่น สตรอเบอรี่)

ในส่วนของคุณแม่ เราแพ้ท้องแบบพะอืดพะอม ไม่ได้มีอาการอาเจียนแบบที่คนอื่นๆ เป็นกันแต่จะคลื่นไส้ไปอยู่อย่างนั้นทั้งวัน เหมือนตัวเองอยู่บนเรือแล้วมีอาการเมาเรือค่ะ จริงๆ แล้วมีหลายวิธีมากที่หามาจากทางอินเตอร์เน็ตแต่บางวิธีก็ไม่เคยได้ลองทำมาก่อน มู่จะขออนุญาตพูดถึงเฉพาะเรื่องที่ทำแล้วช่วยให้ตัวเองหายแพ้นะคะ ซึ่งวิธีที่ทำแล้วสบายตัวมากขึ้นของมู่มีดังนี้ค่ะ

  1. พักผ่อนให้เพียงพอ – พอเริ่มแพ้ก็เริ่มปรึกษาคุณหมอที่ดูแลว่าทำอย่างไรดี นอกจากทานยา(ซึ่งยานั้นทานเยอะก็จะทำให้น้ำนมมาน้อยค่ะ ถ้าอดทนไหวก็ไม่ควรทานนะคะ) คุณหมอเลยบอกให้ลองนอนให้เพียงพอดูซึ่งอาการแพ้ก็จะแปรผกผันกับการนอนค่ะ นอนน้อย=แพ้มาก นอนมาก=แพ้น้อย นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ในช่วง 1-3 เดือนแรก มู่ใช้เวลากับการนอนซะเป็นส่วนใหญ่ (ที่จริงก็คือลุกไปทำอะไรก็ไม่ไหว เวียนหัววูบวาบเลยทีเดียวล่ะค่ะ ช้อยส์เดียวคือทิ้งตัวกับที่นอนนั่นแหละ)
  2. ไม่ฝืน – เพราะเราไม่ใช่ซูเปอร์วูแมนหรือจอมแกร่งดังนั้นเวลาที่เวียนศีรษะ ลุกไม่ไหว หรือทำอะไรไม่ไหวจงอย่าฝืนค่ะ เพราะยิ่งฝืนอาการแพ้ยิ่งแย่ลง เคยฝืนลุกไปทำงาน โอ้โห! ทรมานไปทั้งวันเลยเชียวค่ะ ดังนั้นถ้าคุณไม่ไหวจงพักให้ได้มากๆ แล้วเมื่ออาการดีขึ้นค่อยไปทำอะไรต่อก็ยังไม่สายค่ะ
  3. อย่าให้ท้องว่าง – จะบอกว่าอาการท้องว่างไม่ถูกโรคกับคนท้องค่ะ การที่น้ำย่อยออกมาตอนท้องว่างเป็นเรื่องไม่ชวนพิศสมัยมากบอกเลยค่ะ เพราะนอกจากคลื่นไส้แล้ว ความหิวตัวโตที่เข้าสิงเราก็ยิ่งทำให้อาการแพ้ท้องแย่เข้าไปอีก ดังนั้นจงพกบิสกิตจืดๆ (ของมู่ชอบบิสกิตที่มีลูกเกดหรือผลไม้อบแห้งให้มีรสเปรี้ยวๆ อีกหน่อย) ติดตัวไว้ตลอดเวลา อย่าให้ท้องว่างเป็นอันขาดค่ะ
  4. เดินช่วยให้เลือดลมดี – ข้อนี้ต้องอยู่ที่สุขภาพร่างกายของคุณแม่ด้วยนะคะ ตามที่คุณหมอเคยอธิบายให้ฟังคือ ร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นถ้าทำสิ่งใดแล้วปวดท้อง จงหยุดทำค่ะ เพราะไม่ดีกับคุณแม่และลูกในท้องแน่นอน กลับมาที่ตัวเอง มู่เดินรอบหมู่บ้านประมาณ 1 โลทุกๆ 3-4 วันค่ะ เพราะปกติเป็นคนไม่ออกกำลังกายเลยมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วแต่การเดินทำให้เราได้หายใจเต็มปอดมากขึ้น ลองสังเกตตัวเองดูว่า ทุกครั้งที่เดินตอนเย็น เช้าอีกวันจะสดใสขึ้น โดยเฉพาะอาการแพ้ท้องก็จะเบาลงด้วยค่ะ

โอเค นี่ก็เป็น 4 ข้อที่ทำแล้วได้ผลจริงๆ สำหรับตัวเราเองนะคะ คุณแม่แต่ละท่านก็น่าจะมีสุขภาพที่แข็งแรงแตกต่างกันไป อย่างไรก็ดีควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแลครรภ์ของเราจะให้ข้อมูลที่ดีที่สุดค่ะ คุณแม่ท่านไหนมีคำแนะนำเรื่องการแก้อาการแพ้ท้องสามารถมาแชร์กันได้เลยค่ะ 😊

MUMUUSTORY

Instagram: mumuustory

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.