ส่วนใหญ่เวลาท้อง เรามักได้ยินว่าให้ระวัง ‘เบาหวานแฝงขณะตั้งครรภ์’ แต่จริงๆ แล้วมันมีโรคอื่นๆ ที่คุณแม่ควรจะระวังมากกว่านั้นค่ะ วันนี้มู่จะมาเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังค่ะ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเบาหวานแต่เกี่ยวข้องกับ ‘ลิ่มเลือด’ ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายให้กับทั้งตัวคุณแม่และคุณลูกในท้องได้อย่างร้ายกาจค่ะ
ขอเล่าเร็วๆ ถึงโรคที่มู่เคยเป็นตอนอายุ 26-27 ปีนะคะ มู่เคยอยู่ดีๆ ก็ขาบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ ปวดขาตอนเช้า ตอนเย็นก็บวมจนเดินไม่ได้ และสุดถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคเส้นเลือดดำอุดตันที่ขาหรือ DVT ซึ่งก็ได้รับการรักษาอยู่ประมาณ 1 ปี จากนั้นโรคนี้ก็เลือนหายไปจากความทรงจำ จนเมื่อปีที่แล้วที่มู่และสามีต้องไปปรึกษาคุณหมอเรื่องต้องการมีบุตร โรคนี้ก็กลับมาย้ำเตือนความจำอีกครั้ง(คนที่มีประวัติโรคเลือดควรแจ้งคุณหมอที่เราปรึกษาเรื่องการมีบุตรทุกครั้งนะคะ)
อ่านเรื่องการเตรียมตัวก่อนรักษาภาวะมีบุตรยากได้ที่ลิ้งค์นี้ค่ะ
เราเริ่มการรักษาโดยการปรึกษากับคุณหมอศัลยแพทย์หลอดเลือดก่อน โดยคุณหมอทำการตรวจเลือดหาค่าหลายๆ อย่างทั้งการแข็งตัวของเลือด เลือดจาง ฯลฯ (ขอไม่ลงรายละเอียดส่วนนี้นะคะ) โดยเมื่อได้ข้อสรุปแล้ว คุณหมอแจ้งว่า สุขภาพ ณ ตอนนั้นปกติดี สามารถรักษาภาวะมีบุตรยากได้ ‘โดยมีความเสี่ยงของการเป็นลิ่มเลือดมากกว่าคนปกติ’ สิ่งแรกที่คุณหมอแนะนำให้ทำคือการใส่ 2bgrib เป็นถุงน่องที่เรามักจะเห็นพยาบาลใส่กันเป็นประจำเพราะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีและขาไม่บวมค่ะ ความยาวตั้งแต่เท้ามาจนถึงหัวเข่า ใส่แล้วก็จะมีความเป็นฮาราจุกุเฒ่าเบาๆ
ซึ่งเราใส่เจ้าถุงน่องนี้จน ณ ปัจจุบันที่เกือบครบกำหนดคลอดค่ะ ข้อดีคือขาเราไม่บวมเลยตลอดการตั้งครรภ์ที่ผ่านมา จนเมื่อประมาณเดือนที่ 6-7 ท้องเริ่มใหญ่แล้วค่ะ คุณหมอสูติฯ เลยให้ปรึกษาเรื่องของการผ่าคลอดกับทางคุณหมอศัลยแพทย์หลอดเลือด เลยโดนส่งไปปรึกษากับคุณหมอด้านโลหิตวิทยาซึ่งในส่วนนี้มีความใกล้เคียงกับคุณหมอศัลยแพทย์หลอดเลือด แต่ทางโลหิตวิทยาจะเป็นฝ่ายที่หาสาเหตุ และตรวจด้วยผลแล็ปมากกว่าทางกายภาพค่ะ ซึ่งในเคสเราน่าจะต้องการพาร์ทนี้ด้วยพอสมควร เพราะเป็นโรคที่ไม่เห็นด้วยตาเปล่า และที่สำคัญมีโอกาสเป็นลิ่มเลือดได้มากกว่าแม่ท้องปกติค่ะ
ลิ่มเลือดน่ากลัวอย่างไร?
หลายๆ คนอาจสงสัยว่าถ้าเป็นลิ่มเลือดแล้วจะเกิดผลอย่างไรกับแม่และลูกบ้าง จากที่ได้ศึกษาและได้รับการปรึกษาจากคุณหมอทุกท่านขอสรุปคร่าวๆ ตามนี้นะคะ
- หากลิ่มเลือดไปอุดที่ขา ทำให้ขาบวม ปวด และเดินไม่ได้
- หากลิ่มเลือดไปอุดที่ปอดทำให้หายใจยาก เหนื่อย และอันตรายถึงชีวิตได้ค่ะ
- หากลิ่มเลือดไปอุดที่สมองก็จะกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราหรืออันตรายถึงชีวิตได้ค่ะ
- หากลิ่มเลือดไปอุดที่รก ทำให้เด็กไม่ได้สามารถอาหารเต็มที่ เด็กซึมและมีโอกาสเสียชีวิตได้ค่ะ
ซึ่งไม่ว่าทางไหนก็น่ากลัวค่ะ แต่…หากคุณแม่คนไหนเป็นแล้ว หรือเคยเป็นโรคเลือดก็ยังไม่ได้กลัวไปนะคะ เพราะทางการแพทย์นั้น มีวิธีการรักษาและป้องกัน จริงๆ เท่าที่ฟังคุณหมอและหาข้อมูลมาก หากเป็นแล้วมันจะมีวิธีการให้เลือก 2 ทาง คือกินยาและฉีดยาค่ะ
วิธีที่ 1 จะเป็นตัวยาชื่อว่า Wafarin (เคยกินตอนที่เป็นเส้นเลือดดำอุดตัน) ซึ่งคุณแม่ต้องระวังเรื่องเลือดออก เพราะยาจะส่งผลให้เลือดไม่แข็งตัวและเลือดออกมากนั่นเอง
วิธีที่ 2 คือยาฉีดอย่างที่บอกไปค่ะ ชื่อยาว่า Clexane คุณหมอบอกว่าในตปท.ให้ยาตัวนี้กันเป็นว่าเล่นกับผู้ป่วยที่ติดเตียง หรือแม้แต่ผู้ป่วยที่ต้องนอนเตียงเกิน 2 วันขึ้นไป

โดยในเคสเราเมื่อตรวจมาแล้ว ยังไม่พบลิ่มเลือด และค่าความแข็งตัวเลือดและค่าต่างๆ มีการ diff. เนื่องจากการตั้งครรภ์ จึงเป็นการรักษาเพื่อป้องกันค่ะ โดยที่คุณหมอ….ไม่ได้ให้เลือกค่ะ 5555 คุณหมอแนะนำให้เป็นการฉีดยา Clexane 40 mg. ทุกวัน
จะฉีดยา Clexane ต้องรู้อะไรบ้าง?
- ต้องฉีดเองจ้า เป็นยาที่มีความโหดร้ายตรงที่ เราต้องแบกยานี้กลับมาบ้าน ทำตาปริบๆ กับสามีในครั้งแรกว่าจะฉีดรอดมั้ยวะ แต่ต้องบอกว่าปลอดภัยนะคะ เพราะหลังจากที่ลองฉีดมา 16 วันแล้วก็สามารถฉีดได้ เจ็บตอนเดินยานิดหน่อย แต่ไกลหัวใจค่ะ
- ต้องฉีดทุกวัน เพราะยาออกฤทธิ์เพียง 24 ชม. เท่านั้น ดังนั้นการฉีดยานี้จึงต้องมีวินัยในการฉีดค่ะ คือต้องฉีดในเวลาเดิมของทุกวัน อาจจะไม่ตรงได้เล็กน้อยซึ่งบ้านเราก็มีบ้างที่ฉีดไม่ตรง
- ยานี้ไม่ผ่านรก และไม่ผ่านน้ำนม ทำให้คุณแม่สบายใจได้ว่าลูกน้อยจะไม่ได้รับผลข้างเคียงอะไรจากการใช้ยานี้
- ฉีดยานี้ต้องระวังเรื่องเลือดออก อย่างที่บอกว่ายานี้ทำให้เลือดไม่แข็งตัว มันจะส่งผลให้เลือดออกง่าย และหยุดยากนั่นเองค่ะ แต่ถ้าเป็นแผลเล็กๆ เป็นสิว สิวแตกอะไรแบบนี้ก็ไม่น่ากลัวขนาดนั้นนะคะ
- ถ้าเกิดน้ำเดิน คลอดก่อนกำหนด โดยที่ยังอยู่ในช่วงให้ยา คุณหมอจะมี antidote เอาไว้ปราบฤทธิ์ยาค่ะ
- เป็นยาควบคุม อาจจะหาซื้อข้างนอกยากเพราะเป็นยาที่ต้องมีคำสั่งคุณหมอ และราคาอยูที่เข็มละ 1,XXX บาทค่ะ
เท่าที่คิดว่าควรรู้มีประมาณนี้นะคะ หากใครต้องการสอบถามเพิ่มเติม inbox มาในเพจได้เลยค่ะ



เอาล่ะ ได้เวลาตัดสินใจแล้ว หลังจากรู้ข้อมูลทั้งหมด ก็ตัดสินใจกับแฟนว่า ฉีดน่าจะปลอดภัยกว่าการไม่ฉีดมากก็เลยเริ่มฉีดตั้งแต่อายุครรภ์ 32 สัปดาห์ โดยมีสามีเป็นผู้ทำหน้าที่เป็นหน่วยฉีดยา จำวันแรกในการฉีดได้เลยค่ะ สองผัวเมียนั่งมองหน้ากันทำตาปริบๆ แล้วก็แบบเอาวะ… จิ้มมาเลย! แต่พอวันถัดๆ ไปก็จะเริ่มดีขึ้นค่ะ เราจะเริ่มเข้าใจเทคนิคการฉีดและไม่กลัวอีกต่อไป หลังๆ สามีเริ่มสนุกกับการเอาเข็มมาปักภรรยาแล้วตอนนี้ ไม่แน่ใจว่าเป็นการแก้แค้นความงี่เง่ารึเปล่า 5555
สรุป
ตอนนี้ผ่านมา 16 วันแล้วค่ะ ตอนนี้น้องดิ้นดีทุกวันจากที่เคยกังวลว่าบางวันน้องนิ่งไปเลยเหมือนเด็กไม่มีแรง ตอนนี้ขยันดิ้นมากซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่าไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะยารึเปล่า แต่ก็ช่วยทางจิตใจได้ดีมากค่ะ ยังเหลืออีกประมาณเกือบ 30 วันที่ต้องฉีดต่อไป ซึ่งเราจะต้องหยุดยาก่อนผ่าคลอด 1 วัน และกลับมาฉีดต่อ หรือมีอีก 1 ทางเลือกคือการกินยาแทน ซึ่งเราได้ปรึกษากับคุณหมอแล้วว่าจะกินยา Wafarin หลังคลอดแทนเพราะถูกกว่า และไม่เป็นอันตรายกับเด็กเช่นกัน ที่สำคัญไม่ต้องเจ็บตัวทุกวันค่ะ ><


ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ บล็อกนี้ยาวนิดนึงเพราะเป็นรายละเอียดที่คิดว่าสำคัญและไม่ควรตัดออก หรือหากมีข้อความตรงไหนที่ให้ข้อมูลผิดหรือใครมีคำถามเรื่องคุณหมอ และโรงพยาบาลสามารถสอบถามได้ใน inbox เลยค่ะ
ฉีดยาตัวนี้ตอนท้องเหมือนกันค่ะ มีอาการตอนตั้งครรภ์ได้ 4 เดือน ไม่เคยรู้ว่าตัวเองเป็นโรคเลือดมาก่อนเลยค่ะ