บันทึกคุณแม่มือใหม่ ตอน เด็กพัฒนาการช้าหรือพ่อแม่ชะล่าใจ

จริงๆ อยากเขียนเรื่องนี้มานานแล้วแหละ แต่ไม่มีโอกาสซักที วันนี้เลยถือโอกาสเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังเพราะน่าจะเป็นประโยชน์กับแม่ๆ มือใหม่แกะกล่องเหมือนเรา

บ้านเราเป็นบ้านสายชิลคือบางทีก็ไม่ได้ซีเรียสว่าลูกจะทำแบบนั้น แบบนี้ได้มั้ย เพราะคิดว่าเดี๋ยววันนึงเค้าก็ทำได้เองแหละ เพราะเห็นว่าหลายๆ อย่างลูกก็ทำได้ดี ลูกเราก็ยังน้ำหนักตามเกณฑ์ กินเก่ง ไม่มีปัญหาอะไรนี่? ทุกอย่างดู Happy ดี แต่อยากจะแชร์เรื่องที่ต้องเสียน้ำตากันมาหลายปี๊บก่อนจะยิ้มได้แบบทุกวันนี้แต่ทุกคนคงไม่เคยรู้… ว่าอลันเคยมีอาการพัฒนาการช้ากว่าปกติอยู่ช่วงนึง เรามารู้ตัวอีกทีคือตอนเจ้าลูกชายเกือบๆ 8 เดือนได้แล้ว ถามว่าช้ายังไง? คือเป็นเด็กไม่สบตา ไม่แสดงอารมณ์ ไม่ว่าพูดอะไรด้วยหน้าตาก็นิ่งเฉยเหมือนแฟรงก์เคนสไตล์ จนไปเจอคุณหมอประจำตัวทักว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปมีโอกาสเป็นออทิสติกนะ

ทีนี้ความเครียดเริ่มเกาะกินหัวใจเลยทีเดียว ไม่รอช้า… อีแม่จัดการเสิร์ชหาข้อมูลคุณหมอพัฒนาการเด็กแล้วนัดพบด่วนจี๋

วันแรกที่เจอคุณหมอก็โดนคุณหมอสวดยาวเรื่องของการเลี้ยงดูเพราะหลังจากที่ได้สอบถามชีวิตประจำวันกันดูแล้ว ปรากฎว่ายิ่งคุย พ่อแม่ยิ่งรู้สึกผิดนะ เพราะเราอยู่กับลูกตลอดก็จริง แต่งานของเราสองคนเป็นงานที่ต้องทำบนออนไลน์ ทั้งสั่งงาน ขึ้นงานหรือดูรายละเอียดงานอยู่ในมือถือหมด บางทีก็ทำให้เราชะล่าใจว่า แป๊บเดียวเอง ลูกก็เล่นไป เดี๋ยวแม่ตอบไลน์ลูกค้าแป๊บนึง เช็คเมลอีกหน่อยนึง โพสต์คอนเทนต์ซัก 2 เรื่อง ทำไปทำมาก็กินเวลาไปทั้งวัน แถมยังภูมิใจผิดๆ อีกที่ว่าตัวเองเป็นแม่ที่เลี้ยงลูกและทำงานไปด้วยได้ มันน่าเขกกะโหลกตัวเองจริงๆ

ตัดภาพมาที่คุณหมอที่กำลังสวด สองสามีภรรยาอยู่ คุณหมอพูดอย่างใจเย็นว่า หมอเชื่อว่าลูกคุณแม่ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ แต่เค้าแค่ไม่ถูกกระตุ้นพัฒนาการแล้วเค้าไม่รู้จะ react กับสิ่งที่เจอนั้นยังไง คุณแม่ลองกลับไปอยู่กับเค้า ‘ทั้งตัวและหัวใจ’ ดูนะคะ เวลาเพียงแค่วันละ 15 นาทีที่มีคุณภาพ ดีกว่าเวลาแบบเปะปะทั้งวันนะคะจำไว้

กลับมาบ้านมาด้วยความรู้สึกผิดกับลูกเต็มหัวใจ เรากับสามีนั่งมองหน้าอ้วนที่นั่งอมของเล่นหน้านิ่งๆ อยู่ข้างๆ แต่เป็นแม่แพ้ไม่ได้ เราเลยตัดสินใจพูดกับสามีว่า ไม่มีใครผิดในเรื่องนี้หรอก เราต้องให้อภัยตัวเองนะแล้วมูฟออน สิ่งที่เราและสามีทำคือทุกครั้งที่อยู่กับลูกเราไม่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเลยตลอดช่วงเวลานั้น พยายามชวนคุยเยอะๆ สามีสอนหยอดบล็อคเล่นของเล่น บ้านเราออกไปเดินสวนกันเกือบทุกวัน เรียกว่าเราทำทุกอย่างเพื่อชดเชยพัฒนาการช่วงที่ช้าไป

เราถือว่าเรา สามี และลูกชายเป็นทีมที่ค่อนข้างดีนะ พัฒนาการเจ้าลูกชายค่อยๆ ตีตื้นขึ้นมาเรื่อยๆ จนเท่ากับตารางพัฒนาการในช่วงประมาณ 1 ขวบ 3 เดือนซึ่งทำให้เราและสามีดีใจมาก ทุกวันนี้เราและสามีแฮบปี้กับครอบครัวมาก ลูกแฮบปี้ทำทุกอย่างได้เหมือนเด็กๆ ทุกคนในช่วงอายุเท่ากัน

ทุกวันนี้เรามีหยิบโทรศัพท์ออกมาใช้บ้างเวลาที่ลูกกำลังเล่นของเล่นนะ เพราะเรารู้แล้วว่า ลูกเราต้องการเราตอนไหน ที่สำคัญพอลูกโตขึ้นเค้าก็เริ่มจะทำอะไรด้วยตัวเองได้บ้าง เราก็จะพอมีเวลาเพิ่มขึ้นได้บ้างนิดหน่อยหลังๆ เราเริ่มจัดสรรเวลากับสามีว่าใครจะดูแลลูกช่วงไหน ต้องขอบคุณสามีสุดหัวใจ (ที่สุดในชีวิตของเราแล้วที่มีสามีที่ช่วยเลี้ยงลูก)

บ้านเราเริ่มจัดสรรเวลาให้สามีได้ไปออกกำลังกาย ในขณะที่เราเองก็มีเวลาได้พักบ้างนิดหน่อยในช่วงกลางวัน และทุกเย็นเราจะมีเวลาที่พากันออกไปข้างนอก เดินเล่น ทำกิจกรรมครอบครัว ทุกอย่างอยู่ที่การจัดเวลาล้วนๆ แต่หลักๆ คือเอาลูกเป็น Priority ที่เหลือก็จัดสรรร่วมกัน ยืดหยุ่นไปตามวัน พอเริ่มลงตัวเข้าที่ ความ Happy ก็ตามมา…

และเช่นกันจะบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราได้จากเรื่องนี้คือ การให้อภัยตัวเราเองและคนรักของเรา เพื่อที่เราจะได้ Move on ต่อไป คือไม่อยากจะคิดว่าถ้าวันนั้นเรามัวแต่โทษตัวเราเอง โทษสามี ป่านนี้จะมาถึงวันนี้ได้ยังไง เราคงยังจมอยู่กับความผิดที่เกิดจากความไม่รู้ของเราต่อไป แล้วลูกก็คงไม่ดีขึ้นเร็วขนาดนี้ อีกเรื่องที่สำคัญมากที่สุดคือพัฒนาการเด็กถึงจะเป็นสายชิลก็เถอะ ชิลไม่ได้แปลว่าปล่อยปละละเลย ชิลคือการ encourage ให้ลูกทำไปเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกที่มั่นใจในตัวลูกว่าเมื่อลูกถูกกระตุ้นไปเรื่อยๆ เค้าจะทำแบบนี้ได้เองในซักวันนึง

หวังว่าเรื่องของครอบครัวเราจะเป็นประโยชน์กับใครซักคนที่ต้องการมันในวันใดซักวันหนึ่งค่ะ 🙂

MUMUUSTORY

Instagram: mumuustory

Leave a Reply

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.